TCMC ปรับแผนขยายฐานลูกค้าลักชัวรี

ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC ลุยปรับแผนการผลิตต่อเนื่องสู่การผลิตรูปแบบใหม่ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าเพื่อครองความเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจ พร้อมพลิกแผนการตลาดมุ่งตลาดศักยภาพใหม่ ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มลักซ์ชัวรี่และกลุ่มใหม่ มั่นใจผลประกอบการภาพรวมปีนี้จะฟื้นตัวอีกครั้ง จากสถานการณ์การระบาดของโควิดที่เป็นผลกระทบหลักเริ่มคลี่คลายในหลายประเทศหลังมีวัคซีน พร้อมเปิดทางให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติในเร็ววัน

นางสาว ปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  (TCMC) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปี 2563 กลุ่มบริษัทมีผลประกอบการลดลง 87.84 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100.13 โดย กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการในปี 2563  จำนวน 6,792.40 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้ 8,765.01 ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ 22.51 มี EBITDA จำนวน 448.26 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 38.76 ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 0.11 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิจำนวน 87.73 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจวัสดุปูพื้น ร้อยละ 29.95 ธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ ร้อยละ 9.61 และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ร้อยละ 60.44 ของรายได้จากการขายและบริการทั้งหมด

ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนของธุรกิจที่กลุ่มเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น อานิสงส์จากตลาดอังกฤษที่มีความต้องการซื้อมากหลังการล็อคดาวน์ แต่ในส่วนของ 2 กลุ่มธุรกิจมีสัดส่วนลดลงจากการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและรถยนต์ในปีที่ผ่านมาซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก

“ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าธุรกิจโดยภาพรวมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัสดุปูพื้น กลุ่มพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ ซึ่งลูกค้าหลักของเราอยู่ในภาคการท่องเที่ยวและบริการ เช่น โรงแรม คาสิโน เรือสำราญ ศูนย์ประชุมต่าง ๆ และอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการชะลอตัวไปในช่วงล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลก”

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ยังพอได้รับผลดีจากความต้องการซื้อสะสมที่ประเทศอังกฤษ และจากแผนการปรับปรุงการดำเนินของแต่ละกลุ่มธุรกิจในภาพรวม ทั้งการปรับโครงสร้างองค์กร การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การปรับรูปแบบสินค้าใหม่ๆ และ การปรับแผนการตลาดหาฐานลูกค้าใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้วยการพัฒนาโซฟารูปแบบใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละภูมิภาค ด้วยการพัฒนาแบบร่วมกับร้านค้า และทำคอลเลคชั่นร่วมกับ Influencer เป็นการขยายฐานลูกค้า เพื่อคงความเป็นอันดับหนึ่งในตลาด

ส่วนกลุ่มวัสดุปูพื้น ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมบริการและธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้ลดลง ร้อยละ 35.79 โดยมีรายได้ 2,034 ล้านบาท แต่จากการที่ บริษัทพยายามลดตรงทุนและปรับโครงสร้างองค์กร ปรับลดกำลังการผลิตเพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณคำสั่งซื้อที่ลดลง และพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในทุกด้าน ปรับแผนองค์กรเป็น lean เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 5.19 ล้านบาท  แต่ยังคงขาดทุนสุทธิ 77.57 ล้านบาท เป็นผลจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดเฉพาะในปี 2563 เพื่อเป็นการส่งเสริมการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจนี้ บริษัทได้ปรับแผนการการขายและการตลาดอย่างต่อเนื่อง มีการปรับแผนเข้าหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มโรงแรม เช่น ลูกค้าบ้าน ที่อยู่อาศัย ร้านค้าระดับลักชัวรี่ และมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้แก่ลูกค้า เช่น พื้นไม้ Laminate, LVT, SPC เป็นต้น

“บริษัทยังมั่นใจว่าในปี2564 ผลการดำเนินงานจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง จากการคาดการณ์ที่สถานการณ์การระบาดของโควิดได้เริ่มคลี่คลายในหลายประเทศหลังมีวัคซีน รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งทางรัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนตุลาคม และธนาคารแห่งประเทศไทยก็มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้”

ในปี 2564 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า
บริษัทยังต้องประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นยังคงเชื่อมั่นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลายจากการกระจายฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนทั่วโลก และการปรับตัวของภาคธุรกิจและประชาชนสู่ยุคปกติใหม่ ทำให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตแบบวิถีชีวิตใหม่ ภาคธุรกิจกลับสู่การดำเนินกิจการตามปกติ ทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ส่งผลที่ดีต่อธุรกิจต่าง ๆ ทั้งต่อบริษัทและเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย 

ดังนั้น บริษัทพร้อมดำเนินงานตามแผนธุรกิจเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลจากธนาคารอังกฤษประเมินว่าคนอังกฤษมียอดสะสมเงินที่พร้อมนำมาใช้จ่ายจำนวน 6.25 ล้านปอนด์ ซึ่งจะนำออกมาใช้จ่ายซื้อของหรือท่องเที่ยวจำนวนมาก และจะส่งผลดีต่อธุรกิจเฟอร์นิเจอร์อย่างแน่นอน