โค้งสุดท้ายตลาดวัสดุก่อสร้างสัญญาณดี
สมาร์ทคอนกรีตเผยผลประกอบการ 9 เดือน ปี 63 รายได้รวม 310 ล้านบาท กำไร 30 ล้านบาท โตกว่า 29% มองโค้งสุดท้ายปีนี้ นโยบายการลงทุนโครงการภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-ภาคท่องเที่ยว ทยอยกลับมาลงทุน หนุนความต้องการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบา – อิฐมวลเบาประเภทตกแต่งเพิ่ม
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาเปิดเผยว่าผลประกอบการงวด 9 เดือน มีรายได้รวม 310.43 ล้านบาท ลดลง 32.31 ล้านบาท หรือลดลง 9.42 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 342.74 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.23 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 มีรายได้รวม 97.87 ล้านบาท ลดลง 27.61 ล้านบาท หรือลดลง 22 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 125.48 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.04 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.80 ล้านบาท ลดลง 5.76 ล้านบาท หรือลดลง 38.92 % สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณการขายที่ลดลง ผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอการลงทุน ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนส่งผลให้มีความล่าช้าในการก่อสร้าง
ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศ คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น จากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC การลงทุนภาครัฐที่ผลักดันให้เกิดการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ของภาครัฐ อาทิ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่างๆที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาคารสำนักงาน และผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว ทยอยลงทุนปรับปรุง ซ่อมแซม ที่พัก อาคาร โรงแรม เพื่อรองรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาและอิฐมวลเบาตกแต่ง ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม SMART ยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลาย
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม บล็อกมวลเบาตกแต่ง อีกทั้งได้มีการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดี และมีคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย และเจ้าของบ้าน มากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ในปัจจุบัน งานภาคเอกชน 59 % งานภาครัฐ 40% และต่างประเทศ 1 %