WDC กระเบื้องปูพื้น-ผนังพรีเมี่ยม ทุ่ม 16 ล้าน ผุดสาขาใหม่ 2 แห่ง
WDC ทุ่ม 16 ล้าน ผุดสาขาใหม่ 2 แห่ง ชูนวัตกรรมกระเบื้องความปลอดภัยสูงสุด ตอบโจทย์ทุกความต้องการ กระเบื้องปูพื้นและผนังพรีเมี่ยม
“เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ WDC ผู้นำเข้าวัสดุตกแต่งบ้าน ทั้งกระเบื้องปูพื้นและผนัง รวมทั้งสุขภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยม สบช่องฟื้นโควิด พลิกลุยตลาดกระเบื้องชิงส่วนแบ่งมูลค่า 30,000 ล้าน ปั้นโมเดลธุรกิจสินค้าตอบโจทย์ด้านนวัตกรรม ดีไซน์ และความคุ้มค่า ทุ่มงบ 16 ล้าน เปิด 2 สาขาขยายฐานลูกค้าใหม่ บนโชว์รูมบางนา (โครงการ For You Park) และขอนแก่น พร้อมเปิดไพ่ “MICROTEC Technology” กระเบื้องความปลอดภัยสูงสุด และ “QUADRA BIGSLAB” วัสดุทดแทนหินอ่อนธรรมชาติ ชูจุดเด่นนวัตกรรม-เทรนด์กระเบื้องนำตลาด มั่นใจโกยรายได้ 800 ล้านปีหน้า พร้อมมองเป้าใหญ่ตบเท้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ปี 2024
นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ WDC เผยว่า จากการเติบโตของตลาดวัสดุตกแต่งพื้น-ผนังในประเทศไทยที่ขยายตัวแตะหลัก 30,000 ล้าน (กลุ่มกระเบื้อง) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ WDC มองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างอย่างมาก ด้วย Business model ของบริษัทฯ ที่แตกต่างจากผู้เล่นเจ้าอื่นในไทย ในกรอบของ Floor & Wall material specialist หรือผู้เชี่ยวชาญที่โฟกัสแต่กระเบื้องและวัสดุตกแต่งพื้น-ผนังโดยเฉพาะ ทำให้สินค้าของ WDC มีการพัฒนาที่แตกต่าง ทั้งในแง่ Innovation นวัตกรรมผลิตที่ก้าวนำในระดับเอเชีย, Design งานออกแบบเฉพาะที่ตอบโจทย์ และ Value หรือความคุ้มค่าที่ใส่ใจต่อการลงทุนของลูกค้า
“WDC มีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 5% จากโพสิชั่นลูกค้ากลุ่มกลาง-บน ในช่วงปี 2019 บริษัทฯ มียอดสูงสุดที่ประมาณ 700 ล้านบาท ก่อนชะลอตัวลง 10-15% ในช่วงปีต่อมาจากวิกฤตโควิด เราจึงเริ่มสานต่อแผนงานส่วนพัฒนาสินค้าเรื่องนวัตกรรม ดีไซน์ ประกอบกับความคุ้มค่าที่จับต้องและตอบโจทย์ได้จากวัสดุคุณภาพ รวมถึงเดินหน้าเปิดโชว์รูมเพื่อขยายโอกาสชิงส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ทั้งสาขาบางนา ในงบลงทุน 6 ล้านบาท, สาขาขอนแก่น งบลงทุน 10 ล้านบาท รวมถึงรีโนเวทโชว์รูมที่ CDC เพื่อพร้อมต่อการปล่อยสินค้านวัตกรรม-เทรนด์ใหม่นำตลาด ก่อนนำ WDC กลับสู่ตลาดชิงส่วนแบ่งและคว้าฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น วางเป้าเติบโตที่ 2 digit ทำรายได้แตะ 700-800 ล้านในปี 2022”
นอกจากนี้ WDC ยังได้พัฒนาสินค้าภายใต้แรงผลักและแนวคิด ในการยกระดับ “Living Quality Life” ของคนไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ทั้งประสบการณ์กว่า 16 ปีทำให้บริษัทฯ มีพื้นฐาน-องค์ความรู้ในการเป็นเป็นผู้ให้และผู้สร้างสินค้าที่มีความสวยงาม มีนวัตกรรมและงานดีไซน์เฉพาะตัว สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงเข้าใจในความต้องการของกลุ่มธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีในมุมของความสวยงาม ขนาด-พื้นที่การใช้งาน งบประมาณ รวมถึงประสิทธิภาพของนวัตกรรมกระเบื้อง ที่ก้าวทันต่อกระแสของการอยู่อาศัยยุคใหม่
นายบัณฑิต ให้ข้อมูลเสริมว่า “WDC ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะออกมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือการข้ามข้อจำกัดเดิมด้วย ‘MICROTEC Technology’ กระเบื้องอัจฉริยะ ที่มอบความปลอดภัยระดับสูงสุด จากความสามารถในการเพิ่มค่ากันลื่นของกระเบื้อง ด้วยนวัตกรรมการเคลือบสารบนพื้นผิวที่ทำให้กระเบื้อง มีผิวสัมผัสที่นุ่มสบายเท้าในขณะแห้ง แต่เพิ่มคุณสมบัติในการกันลื่นเมื่อกระเบื้องเปียก จึงทำให้ลดอุบัติเหตุได้ดี ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถใช้งานได้หลากหลายทั้งภายใน-ภายนอก โซนเปียก-แห้ง จนถึงใช้งานได้ทั้งการกรุพื้นหรือผนัง ปัจจุบัน MICROTEC Technology มีอยู่ในกระเบื้องรุ่น ENZO และเตรียมปล่อยออกมาอีก 2 คอลเลคชั่น ในรุ่น LAGOON และ LEGACY ในปี 2022”
ทั้งนี้ WDC ยังมีกลุ่มสินค้าทดแทนหินธรรมชาติ อย่าง “QUADRA BIGSLAB” หรือนวัตกรรมอัจฉริยะวัสดุทดแทนหินอ่อน ที่สามารถแก้ pain point และข้อจำกัดการใช้หินธรรมชาติได้ในทุกมิติ ด้วยคุณสมบัติทนทานสึกกร่อนได้ยาก ทั้งยังทนต่อสารเคมีได้ดี และน้ำหนักเบากว่าหินอ่อนจริงสองเท่า รวมถึงเทคโนโลยีที่มีการจำลองลวดลายจากธรรมชาติได้อย่างเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยีจากอิตาลี ตอบโจทย์ได้ทุกงานสถาปัตยกรรม ทั้งกรุผนัง, กรุเฟอร์นิเจอร์, ปูพื้น, ท็อปโต๊ะและเคาน์เตอร์ต่างๆ ที่สำคัญ BIGSLAB ยังเป็นวัสดุทดแทนหินธรรมชาติ ขนาดใหญ่พิเศษ 320×160 เซนติเมตร ที่ราคาถูกกว่าตลาดราวครึ่งหนึ่ง จากจุดแข็งในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีผลิตเฉพาะที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ลิขสิทธิ์ของ WDC
ปัจจุบัน WDC มีโชว์รูมอยู่ทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ Crystal Design Center (CDC), นิมิตใหม่, หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา และบางนา (โครงการ For You Park) ทั้งยังเตรียมเปิดสาขาที่ 8 ในช่วงไตรมาสสี่ 2021 อย่าง “สาขาขอนแก่น” เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและรองรับความต้องการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) จำหน่ายสินค้าออกเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้ากระเบื้อง (Tile) ทั้งเซรามิกและพอร์ซเลน, กลุ่มสินค้าวัสดุทดแทนกระเบื้อง (Non-Tile) ได้แก่ Vinyl, SPC, Laminate และ Engineering Wood, กลุ่มสินค้า Mosaic ทั้งพอร์ซเลน และ Glass Mosaic, กลุ่มสินค้า Big Slab คือ Large Format Porcelain ได้แก่ Marble Tile, Quartz Stone และกลุ่มสุขภัณฑ์ (Sanitary Ware) ทั้งก๊อกน้ำ อ่างอาบน้ำ ฝักบัว และโถสุขภัณฑ์
“นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าแล้ว WDC ยังให้ความสำคัญกับระบบภายในเพื่อเตรียมความพร้อมในการรุกตลาดอย่างเต็มตัว เราได้ปรับปรุง back in operation รวมถึงมีการซื้อ ระบบ ERP, CRM และ ระบบ Warehouse WMS ใหม่ ซึ่งภายหลังที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงปี 2022 บริษัทฯ จะมองถึงเป้าใหญ่ต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งดำเนินแผนที่วางไว้ในการจดทะเบียนเปิดบริษัทต่างประเทศแรกที่ อินโดนีเซีย ตามด้วยเวียดนามและฟิลิปปินส์ ตามลำดับ โดยการขยายตัวไปยังตลาดต่างประเทศจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทฯ ไปในจุดใหม่ วางเป้าแตะ 2,000-3,000 ล้านบาท ใน 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมเป้าหมายสำคัญในการจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปี 2024 ที่จะถึงนี้” นายบัณฑิต เสริมทิ้งท้าย
สำหรับสถาปนิก นักออกแบบอิสระ หรือ ดีไซเนอร์ในบริษัทต่างๆ ตลอดจนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่รายเล็ก และผู้บริโภคทั่วไปที่กำลังหาข้อมูลวัสดุตกแต่งพื้นและผนัง หรือเริ่มสนใจการออกแบบตกแต่งบ้านด้วยตนเอง สามารถเข้าชมเว็บไซต์ของบริษัท ได้ที่ www.wdc.co.th