โรงแรมหรูในภูเก็ต หวังท่องเที่ยวฟื้นครึ่งปีหลัง
ฝันร้ายของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตในภาวะการหดตัวของนักท่องเที่ยวอย่างรุนแรง เลื่อนการเปิดตัวโรงแรมใหม่ออกไป มองสถานการณ์ไม่เอื้อ หวังท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง อาจพิจารณาเปิดตัวใหม่อีกครั้งหลัง
คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รายงานภาพรวมตลาดโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงปัจจัยลบจากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน พบว่าอุปทานเปิดตัวใหม่มีเพียงแค่โครงการเดียวเท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบหลายรายเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวโรงแรมใหม่ในช่วงนี้ออกไป และพิจารณาการเปิดตัวอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยรวมถึงค่าห้องพักเฉลี่ยปรับตัวลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่ยากลำบากที่สุดของภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตสำหรับในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ณ สิ้นครึ่งแรกปี 2563 อุปทานโรงแรมทุกระดับในจังหวัดภูเก็ตอยู่ที่ประมาณ 86,000 ห้อง แต่สำหรับภาพรวมอุปทานสะสมโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 22,420 ห้องสำหรับในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา มีโรงแรมระดับอัพสเกลเปิดบริการใหม่เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นคือ โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีชรีสอร์ท 600 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณหาดป่าตอง อำเภอกะทู้
นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรงแรมอีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังปี 2563 -2566 โดยพบว่าประมาณ 67.1% หรือมากกว่า 11,000 ห้องพัก เป็นโครงการวิลล่าตากอากาศและโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการขายแบบการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีแบรนด์โรงแรมเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการในลักษณะโฮเต็ลเรสิเดนซ์ ในรูปแบบโปรแกรมบังคับเช่า หรือแบบเลือกการปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งถือว่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตเป็นอย่างมาก
คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ทำเล ป่าตอง กมลา บางเทา ราไวย์ ในหาญ และสุรินทร์ จะยังคงเป็นทำเลนี้จะยังคงขยายตัวต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะพื้นที่โดยรอบทำเลย่านป่าตอง และ บางเทา เนื่องจากเป็นทำเลที่ภาคเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่จากภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (แทรม) จ.ภูเก็ต รวมถึงโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. ล้วนจะส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในภูเก็ตมากขึ้นในอนาคต
จากอุปทานโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคตเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่าอุปทานโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวและความต้องการห้องพักไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้มากนัก ส่งผลให้เกิดภาวะที่อุปทานเกินความต้องการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องปรับตัว โดยกลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าและบริการ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาว่าอำนาจการซื้อของลูกค้าหลักเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ด้วยทิศทางของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นผู้ประกอบการไม่ควรขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ เพราะจะไปซ้ำเติมอำนาจการซื้อของนักท่องเที่ยว เพื่อให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางค่าเงินบาทการปรับราคาสินค้าและบริการ ในช่วง2-3 ปีข้างหน้าอาจเป็นไปได้ยาก ผู้ประกอบควรเน้นการปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจยังมีความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่ตลาดชะลอตัว
สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมากจากการปิดพื้นที่ซึ่งส่งผลให้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ ส่งผลให้ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในพื้นที่ภูเก็ตกลายเป็น 0 ในช่วง 2 เดือนดังกล่าว และนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปมากกว่า 99% ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งปีแรกเหลือเพียงแค่ 2.84 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 62.56% และพบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างมากเช่นเดียวกันเหลือเพียงแค่ประมาณ 1.85 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 68.94% ในส่วนของนักท่องเที่ยวไทยก็ปรับตัวลดลงมากถึง 52.75 % มาอยู่ที่ประมาณ0.98 ล้านคน ส่งผลให้มูลค่าจากการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เหลือเพียงแค่ 101,242.39 ล้านบาทเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 62.85% สร้างความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ. 2563 คาดว่ายังคงเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยและการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในปีพ.ศ. 2563 โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างหลักในหลายประเทศทั่วโลกที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ นอกจากนี้ปัจจัยลบในเรื่องของการแข็งค่าของเงินบาท ข้อจำกัดเรื่องการรองรับของสนามบินหลักของไทย และเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ถือว่ายังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย ประกอบกับค่าเงินบาทที่ค่อนข้างแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคนี้ ส่งล้วนแต่ถือว่าเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตแทบทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตามคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทยมองว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในภูเก็ตอาจปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ภูเก็ตในจำนวนจำกัด และต้องผ่านการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และให้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเท่านั้น เบื้องต้นจะนำร่องจ.ภูเก็ต เป็น “โมเดล” สำหรับภูเก็ตโมเดลจะเริ่มบางพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ตัวอย่างเช่น หาดป่าตอง จะปิดพื้นที่ในรัศมี 1 กิโลเมตร ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่เป็นเวลา 14 วัน
โรงแรมเปิดตัวใหม่ในแต่ละปี และอุปทานสะสมรายปี ณ สิ้นครึ่งปีแรก 2563
อุปทานสะสมโรงแรมระดับลักชัวรี่และอัพสเกลในภูเก็ต ณ ครึ่งแรกปี 2563