สศช. เผยตัวเลขจีดีพีเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

สศช. เผยตัวเลขจีดีพีเศรษฐกิจไทยของไตรมาสที่สี่ปี 2567 ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 ชี้ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2567 ร้อยละ 0.4 ส่วนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 76,660 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.6 สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2567 และภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.0 ในไตรมาสที่สามของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2567 ร้อยละ 0.4 (%QoQ_SA)

ด้านการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวเร่งขึ้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการอุปโภคภาครัฐบาลชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายในเกือบทุกหมวด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของรัฐสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น โดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร การบริการด้านสุขภาพ และการบริการขนส่ง การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และการใช้จ่ายกลุ่มไฟฟ้า ก๊าซ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ

การใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 9.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 50.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.1 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 5.4 ชะลอตัวจากร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าตอบแทนแรงงานขยายตัวร้อยละ 2.8 ค่าซื้อสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 10.6 ส่วนรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดขยายตัวร้อยละ 13.1

สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 36.7 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 30.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมทั้งปี 2567 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบกับร้อยละ 6.9 ในปี 2566 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.7 ในปี 2566

การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 5.1 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามร้อยละ 2.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน ตามการลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือที่ลดลงร้อยละ 1.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงต่อเนื่องของการลงทุนในหมวดยานยนต์ สอดคล้องกับยอดจดทะเบียนยานยนต์ใหม่ที่ลดลงร้อยละ 18.6 ขณะที่การลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือประเภทอื่นขยายตัวสอดคล้องกับการเร่งขึ้นของการนำเข้าสินค้าทุน

ส่วนการลงทุนก่อสร้างลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 7.8 ขณะที่การก่อสร้างอาคารโรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว การลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 39.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 25.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการเร่งขึ้นทั้งการลงทุนก่อสร้างและเครื่องจักรเครื่องมือ สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 13.4 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 37.5 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 6.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมทั้งปี 2567 การลงทุนรวมทรงตัว เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.2 ในปี 2566 โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในปี 2566 ขณะที่การลงทุนภาครัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.2 ในปี 2566

ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 76,660 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.6 สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส เร่งขึ้นจากร้อยละ 8.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าประมงกลับมาขยายตัว ส่วนราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกขยายตัว เช่น ยางพารา (ร้อยละ 30.8) คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 118.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 52.6) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 45.7) และเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 23.9) เป็นต้น

กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 7.3) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 32.5) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 23.5) และรถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 13.0) เป็นต้น ส่วนการนำเข้าสินค้ามีมูลค่า 71,309 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 11.3 ในไตรมาสก่อน ตามการนำเข้าที่ขยายตัวในทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยปริมาณการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 9.1 ขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 5.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (182.3 พันล้านบาท) ต่ำกว่าการเกินดุล 5.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (198.5 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อน รวมทั้งปี 2567 การส่งออกมีมูลค่า 297,049 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 277,775 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 19.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (678.2 พันล้านบาท)

เศรษฐกิจไทยปี 2567
โดยเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปี 2566 ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการอุปโภคภาครัฐบาลขยายตัวร้อยละ 4.4 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 4.8 ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 1.6 ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 5.8 ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการ
ด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งและการขายปลีก และสาขาก่อสร้างขยายตัว ร้อยละ 9.5 ร้อยละ 9.0 ร้อยละ 3.8 และร้อยละ 1.3 ตามลำดับ ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 0.5 และร้อยละ 1.0 ตามลำดับ

รวมทั้งปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 18.58 ล้านล้านบาท (5.26 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจาก 17.95 ล้านล้านบาท (5.15 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.) ในปี 2566 และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 264,607.7 บาทต่อคนต่อปี (7,496.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี) เพิ่มขึ้นจาก 256,345.4 บาทต่อคนต่อปี (7,363.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี) ในปี 2566 สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 – 3.3 (ค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ร้อยละ 2.8) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน (2) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชนและการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน (3) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง และ (4) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.3 และร้อยละ 3.2 ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 3.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 – 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP